ลูกน้อยนอนหลับยาว ควรปลุกมากินนมหรือไม่? - บทความโดยแพทย์

การเลี้ยงลูกไม่มีกฎตายตัว เด็กในแต่ละช่วงอายุมีความต้องการนมแตกต่างกัน และในเด็กช่วงอายุเดียวกันก็มีความต้องการนมแตกต่างกันเช่นกัน บางคนหิวแก่ง ทานนมทีละมากๆ แล้วหลับยาว 3-4 ชั่วโมง เด็กบางคนกระเพาะเล็ก ทานทีละน้อย แต่บ่อยมื้อ 2-3 ชั่วโมงก็หิวอีกแล้ว

เด็กที่ทานนมแม่จะย่อยง่าย ระบบการขับถ่ายจะดี เด็กอาจถ่ายวันละ 2-3 ครั้ง และหิวไวกว่า แต่ข้อดีของการดื่มนมแม่ คือ เมื่อลูกตื่นมาดูดนมจะช่วยกระตุ้นให้แม่ผลิตนมได้เพิ่มขึ้น เพื่อเพียงพอกับปริมาณที่ลูกต้องการ ช่วงที่ลูกหลับยาวส่วนใหญ่มักในสัปดาห์แรกหลังคลอด หลังจากนั้นเด็กจะปรับตัวได้ และตื่นเป็นเวลา หรือตื่นนานขึ้น

คุณแม่สามารถประเมินว่า ลูกดื่มนมพอหรือไม่ดูได้จาก...

1. จากการดูที่ผิวหนัง ถ้ากดลงไปแล้วผิวหนังยืดหยุ่นดี 
2. ปัสสาวะมีสีเหลืองใส 
3. หลังดูดนมแล้วนมเบาลงหรือนมเกลี้ยงเต้า น่าจะแสดงว่าลูกได้รับนมที่เพียงพอ 
ถ้าไม่แน่ใจว่าลูกอาจทานยังไม่อิ่ม หรือบางทีดูดนมไปแล้วหลับ ให้กระตุ้นโดยเขี่ยเบาๆ บริเวณริมฝีปากด้านล่างเพื่อกระตุ้นให้ลูกดูดนมต่อ

จำเป็นต้องปลุกลูกมากินนมหรือไม่?

- ในเด็กแรกเกิด ช่วง 1 เดือนแรก ซึ่งเป็นระยะเริ่มสร้างวรจรการสร้างน้ำนม ลูกมักจะดูดนมแม่บ่อยทุก 2-3 ชั่วโมงจึงเหมาะกับทารกในระยะนั้น

- ถ้าลูกอายุ 2-3 เดือน แต่ไม่ตื่นมากินนมก็ไม่ต้องปลุกขึ้นมากินนะคะ เพราะอาจจะสร้างรากฐานให้เขาติดนมมื้อดึกและติดขวดนมได้

- ในเด็กอายุ 4-5 เดือน กระเพาะอาหารใหญ่ขึ้น หากดื่มนมกลางวันเพียงพอ น้ำหนักขึ้นดีตามเกณฑ์ ส่วนใหญ่จะหลับยาวได้ในช่วงดึกค่ะ อาจปล่อยให้ลูกนอนยาวได้ต่อเนื่อง 4-5 ชั่วโมง โดยไม่ต้องปลุกลูกขึ้นมากินนม

- หลังช่วงอายุหนึ่งปี คุณแม่ควรฝึกให้น้องหลับยาว โดยไม่ต้องตื่นมากินนมมื้อดึก โดยช่วงกลางวันให้รับประทานอาหาร 3 มื้อ และนมแบ่งให้ทาน 3-4 มื้อ โดยเฉลี่ย 24 ออนซ์ต่อวัน โดยช่วงแรกลูกอาจร้องหานมมื้อดึกจากความเคยชิน หากรับประทานอาหารและนมเพียงพอในช่วงกลางวันก็ไม่จำเป็นต้องเสริมนมมื้อดึกอีก

ซึ่งมีหลายวิธีในการหย่านมมื้อดึก แต่จะต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ถ้าลูกยังเป็นเบบี๋ควรเริ่มฝึกให้ลูกหลับได้เองโดยไม่ต้องดูดนมกล่อมให้หลับ จะทำให้หย่านมมื้อดึกได้ง่ายขึ้น และทำให้ลูกได้หลับยาวขึ้นได้ด้วยค่ะ ทั้งนี้ในเด็กแต่ละคนอาจมีความต้องการนมที่แตกต่างกัน หากมีข้อสงสัยแนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์ หรือค้นข้อมูลจากเวปของมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศค่ะ

ขอบคุณบทความจาก
พญ. ฐิตาภรณ์ วรรณประเสริฐ
เเพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางผิวหนังเด็ก โรงพยาบาลผิวหนังอโศก